โรคที่พบบ่อยในงู และวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น
งูเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเสน่ห์ เลี้ยงง่าย และไม่ต้องการพื้นที่มาก แต่ยังมีโรคบางชนิดที่เจ้าของควรรู้จักเพื่อป้องกันและรับมือได้ทันเวลา
1. โรคช่องปากอักเสบ (Mouth Rot / Infectious Stomatitis)
อาการ
- น้ำลายไหล
- ช่องปากแดงหรือมีแผล
- จ้ำเลือดหรือเมือกข้นบริเวณเหงือก
- ไม่กินอาหาร
สาเหตุ
- การติดเชื้อแบคทีเรีย
- ความเครียดหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
- ความชื้นและอุณหภูมิไม่เหมาะสม
- การบาดเจ็บจากอาหารหรือวัตถุแข็ง
การรักษา
- ล้างช่องปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ฉีดยาฆ่าเชื้อ (ตามดุลยพินิจของสัตวแพทย์)
- เสริมวิตามิน A และ C
2. โรคลอกคราบไม่สมบูรณ์ (Dysecdysis)
อาการ
- คราบติดแน่น โดยเฉพาะที่ตา (Spectacle Retention)
- มองไม่ชัด เลื้อยผิดปกติ
- เสี่ยงติดเชื้อบริเวณคราบ
สาเหตุ
- ความชื้นในที่เลี้ยงต่ำ
- ขาดวิตามิน A
- ไม่มีวัสดุให้ถูตัวช่วยลอกคราบ
การรักษา
- เช็ดคราบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น
- แช่ตัวในน้ำอุ่น 30–45 นาที
- เพิ่มความชื้นในที่เลี้ยง
- จัดเตรียมหินหรือวัสดุให้ถูตัว
3. การติดเชื้อโปรโตซัวและไวรัส
Cryptosporidium (โปรโตซัว)
อาการ
- ขย้อนอาหาร
- น้ำหนักลด
- อ่อนแรง
- คลำเจอก้อนกลางลำตัว
การรักษา
- ให้ยาปฏิชีวนะ
- ดูแลแบบประคับประคอง ลดความเครียด
Inclusion Body Disease (IBD)
ไวรัสที่พบบ่อยในงูโบอาและไพธอน
อาการ
- เคลื่อนไหวผิดปกติ
- พลิกตัวไม่ได้
- ไม่กินอาหาร
การรักษา
- ยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ
- งูที่ติดเชื้อมักเสียชีวิตในไม่กี่วันหรือสัปดาห์
แนวทางป้องกันโรคในงู
- ตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิทุก 6 เดือน
- ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม
- รักษาความสะอาดกรงและอุปกรณ์
- แยกเลี้ยงงูป่วยเพื่อป้องกันการแพร่โรค
- สังเกตพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ไม่กินอาหาร ขย้อน เดินผิดปกติ แล้วรีบพาไปพบสัตวแพทย์
หากพบอาการผิดปกติ ควรพางูไปพบสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านสัตว์เลื้อยคลานโดยเร็วที่สุด
#โรคงู #ดูแลสัตว์เลื้อยคลาน #ExoticAnimalCare #AnimalSpace