งูสามารถติดพยาธิได้จากอาหารและสิ่งแวดล้อม
งูที่กินอาหารสด เช่น หนูแช่แข็ง หนูเป็น ลูกเจี๊ยบ หรืออาหารอื่น ๆ มีโอกาสได้รับพยาธิหรือเชื้อโรคจากการปนเปื้อนได้ง่าย นอกจากนี้ ยังสามารถติดพยาธิได้จากอุจจาระของงูตัวอื่นที่ปนเปื้อนเชื้อ
แนวทางแนะนำ
- พางูไปตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ครั้ง)
- เริ่มตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
- เก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อตรวจหาไข่พยาธิ โปรโตซัว และเชื้อรา
ตัวอย่างเคส: งูคอร์นติดพยาธิ
งูดูสุขภาพดี แต่พบพยาธิว่ายในอุจจาระเมื่อตรวจใต้กล้องจุลทรรศน์
สัตวแพทย์จึงให้ยาถ่ายพยาธิ พร้อมแนะนำเจ้าของดังนี้
- ทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์
- ตรวจสอบคุณภาพของแหล่งอาหาร
โรคอื่นที่พบบ่อยในงู
- โรคช่องปากอักเสบ (Mouth Rot)
- อาการ: น้ำลายมาก ช่องปากแดง มีเมือกหรือเลือด งูไม่กินอาหาร
- สาเหตุ: การติดเชื้อแบคทีเรีย ความเครียด สิ่งแวดล้อมไม่สะอาด
- การรักษา: ล้างช่องปาก ยาฆ่าเชื้อ และเสริมวิตามิน A, C
- โรคลอกคราบไม่สมบูรณ์ (Dysecdysis)
- อาการ: คราบติดที่ตา มองไม่ชัด ผิวแห้ง
- สาเหตุ: ความชื้นไม่เหมาะสม ไม่มีที่ถูลำตัว
- การรักษา: เช็ดด้วยน้ำอุ่น เพิ่มความชื้น และมีวัสดุให้ถูตัว
- การติดเชื้อโปรโตซัวและไวรัส
- Cryptosporidium
- อาการ: ขย้อนอาหาร น้ำหนักลด อ่อนแรง คลำเจอก้อน
- การรักษา: ยาปฏิชีวนะ (บางครั้งไม่ได้ผล)
- Inclusion Body Disease (IBD)
- พบบ่อยในงูโบอาและไพธอน
- อาการ: ระบบประสาทผิดปกติ พลิกตัวไม่ได้ เลื้อยผิดปกติ
- การรักษา: ยังไม่มีแนวทางรักษา งูมักเสียชีวิตภายในไม่กี่วัน
- Cryptosporidium
ทำไมต้องถ่ายพยาธิและตรวจสุขภาพงูเป็นประจำ?
- ป้องกันการติดพยาธิจากอาหารหรืออุจจาระที่ปนเปื้อน
- ป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรง
- ตรวจพบปัญหาได้เร็ว และรักษาได้ทันเวลา
- ช่วยให้งูมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หากงูมีพฤติกรรมหรืออาการผิดปกติ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
การตรวจเช็กเป็นประจำคือกุญแจสำคัญในการดูแลสัตว์เลื้อยคลาน