Skip to content

ทำไมต้องพางูไปหาหมอและถ่ายพยาธิ

Share to Social Media:

งูสามารถติดพยาธิได้จากอาหารและสิ่งแวดล้อม

งูที่กินอาหารสด เช่น หนูแช่แข็ง หนูเป็น ลูกเจี๊ยบ หรืออาหารอื่น ๆ มีโอกาสได้รับพยาธิหรือเชื้อโรคจากการปนเปื้อนได้ง่าย นอกจากนี้ ยังสามารถติดพยาธิได้จากอุจจาระของงูตัวอื่นที่ปนเปื้อนเชื้อ

แนวทางแนะนำ

  • พางูไปตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ครั้ง)
  • เริ่มตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
  • เก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อตรวจหาไข่พยาธิ โปรโตซัว และเชื้อรา

ตัวอย่างเคส: งูคอร์นติดพยาธิ

งูดูสุขภาพดี แต่พบพยาธิว่ายในอุจจาระเมื่อตรวจใต้กล้องจุลทรรศน์
สัตวแพทย์จึงให้ยาถ่ายพยาธิ พร้อมแนะนำเจ้าของดังนี้

  • ทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์
  • ตรวจสอบคุณภาพของแหล่งอาหาร

โรคอื่นที่พบบ่อยในงู

  1. โรคช่องปากอักเสบ (Mouth Rot)
    • อาการ: น้ำลายมาก ช่องปากแดง มีเมือกหรือเลือด งูไม่กินอาหาร
    • สาเหตุ: การติดเชื้อแบคทีเรีย ความเครียด สิ่งแวดล้อมไม่สะอาด
    • การรักษา: ล้างช่องปาก ยาฆ่าเชื้อ และเสริมวิตามิน A, C
  2. โรคลอกคราบไม่สมบูรณ์ (Dysecdysis)
    • อาการ: คราบติดที่ตา มองไม่ชัด ผิวแห้ง
    • สาเหตุ: ความชื้นไม่เหมาะสม ไม่มีที่ถูลำตัว
    • การรักษา: เช็ดด้วยน้ำอุ่น เพิ่มความชื้น และมีวัสดุให้ถูตัว
  3. การติดเชื้อโปรโตซัวและไวรัส
    • Cryptosporidium
      • อาการ: ขย้อนอาหาร น้ำหนักลด อ่อนแรง คลำเจอก้อน
      • การรักษา: ยาปฏิชีวนะ (บางครั้งไม่ได้ผล)
    • Inclusion Body Disease (IBD)
      • พบบ่อยในงูโบอาและไพธอน
      • อาการ: ระบบประสาทผิดปกติ พลิกตัวไม่ได้ เลื้อยผิดปกติ
      • การรักษา: ยังไม่มีแนวทางรักษา งูมักเสียชีวิตภายในไม่กี่วัน

ทำไมต้องถ่ายพยาธิและตรวจสุขภาพงูเป็นประจำ?

  • ป้องกันการติดพยาธิจากอาหารหรืออุจจาระที่ปนเปื้อน
  • ป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรง
  • ตรวจพบปัญหาได้เร็ว และรักษาได้ทันเวลา
  • ช่วยให้งูมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

หากงูมีพฤติกรรมหรืออาการผิดปกติ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
การตรวจเช็กเป็นประจำคือกุญแจสำคัญในการดูแลสัตว์เลื้อยคลาน