Skip to content

โรคที่พบบ่อยในงู และวิธีดูแลรักษา

Share to Social Media:

โรคที่พบบ่อยในงู และวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น

งูเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเสน่ห์ เลี้ยงง่าย และไม่ต้องการพื้นที่มาก แต่ยังมีโรคบางชนิดที่เจ้าของควรรู้จักเพื่อป้องกันและรับมือได้ทันเวลา


1. โรคช่องปากอักเสบ (Mouth Rot / Infectious Stomatitis)

อาการ

  • น้ำลายไหล
  • ช่องปากแดงหรือมีแผล
  • จ้ำเลือดหรือเมือกข้นบริเวณเหงือก
  • ไม่กินอาหาร

สาเหตุ

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ความเครียดหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
  • ความชื้นและอุณหภูมิไม่เหมาะสม
  • การบาดเจ็บจากอาหารหรือวัตถุแข็ง

การรักษา

  • ล้างช่องปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • ฉีดยาฆ่าเชื้อ (ตามดุลยพินิจของสัตวแพทย์)
  • เสริมวิตามิน A และ C

2. โรคลอกคราบไม่สมบูรณ์ (Dysecdysis)

อาการ

  • คราบติดแน่น โดยเฉพาะที่ตา (Spectacle Retention)
  • มองไม่ชัด เลื้อยผิดปกติ
  • เสี่ยงติดเชื้อบริเวณคราบ

สาเหตุ

  • ความชื้นในที่เลี้ยงต่ำ
  • ขาดวิตามิน A
  • ไม่มีวัสดุให้ถูตัวช่วยลอกคราบ

การรักษา

  • เช็ดคราบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น
  • แช่ตัวในน้ำอุ่น 30–45 นาที
  • เพิ่มความชื้นในที่เลี้ยง
  • จัดเตรียมหินหรือวัสดุให้ถูตัว

3. การติดเชื้อโปรโตซัวและไวรัส

Cryptosporidium (โปรโตซัว)
อาการ

  • ขย้อนอาหาร
  • น้ำหนักลด
  • อ่อนแรง
  • คลำเจอก้อนกลางลำตัว

การรักษา

  • ให้ยาปฏิชีวนะ
  • ดูแลแบบประคับประคอง ลดความเครียด

Inclusion Body Disease (IBD)
ไวรัสที่พบบ่อยในงูโบอาและไพธอน
อาการ

  • เคลื่อนไหวผิดปกติ
  • พลิกตัวไม่ได้
  • ไม่กินอาหาร

การรักษา

  • ยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ
  • งูที่ติดเชื้อมักเสียชีวิตในไม่กี่วันหรือสัปดาห์

แนวทางป้องกันโรคในงู

  • ตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิทุก 6 เดือน
  • ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม
  • รักษาความสะอาดกรงและอุปกรณ์
  • แยกเลี้ยงงูป่วยเพื่อป้องกันการแพร่โรค
  • สังเกตพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ไม่กินอาหาร ขย้อน เดินผิดปกติ แล้วรีบพาไปพบสัตวแพทย์

หากพบอาการผิดปกติ ควรพางูไปพบสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านสัตว์เลื้อยคลานโดยเร็วที่สุด


#โรคงู #ดูแลสัตว์เลื้อยคลาน #ExoticAnimalCare #AnimalSpace